ประโยชน์ น้ำทับทิมคั้น สรรพคุณสมุนไพร ช่วยลดความดันโลหิต

ทับทิม (Punica granatum L.) หรือ pomegranate ถือเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งใน ปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย มีรสหวานออกเปรี้ยว ในการบริโภคมักนำส่วนเนื้อหุ้มเมล็ดมาคั้นเป็นน้ำดื่ม

ซึ่งในน้ำทับทิมคั้นสด จะประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมากมายได้แก่ กรดฟีนอลิกและกรดต่างๆ เช่น กรด gallic, caffeic, chlorogenic, ferulic, coumaric, citric, succinic, malic, oxalic และวิตามินซี (1) ในน้ำทับทิมคั้น 100 ก. จะมีปริมาณของวิตามินซีประมาณ 10 - 20 มก. (2) 

และสารกลุ่มแทนนินที่พบมากใน ทับทิมคั้น คือ ellagitannins (เช่น punicalagins และ granatins) และ gallotannins (3 - 5) โดยฤทธิ์ ทางเภสัชวิทยาของทับทิมส่วนใหญ่เกิดจากสารในกลุ่มนี้ (2)

นอกจากนี้ยังพบสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ เช่น quercetin และ phloridzin สารกลุ่ม flavan-3-ols หรือ flavanols เช่น catechin, epicatechin, และ epigallocatechin (6) และสารแอนโทไซยานินซึ่งให้สีแดงในน้ำทับทิมคั้น (7 - 8)

ประโยชน์ น้ำทับทิมคั้น สรรพคุณสมุนไพร ช่วยลดความดันโลหิต

โรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูง หรือที่แพทย์บางท่านเรียกว่า ภาวะความดันโลหิตสูง (hypertension หรือ high blood pressure) หมายถึง ภาวะที่ความดันช่วงบนมีค่าตั้งแต่ 130 มม.ปรอท ขึ้นไป และ/หรือความดัน ช่วงล่างมีค่าตั้งแต่ 80 มม.ปรอท ขึ้นไป เป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้มากในผู้สูงวัย (60 ปีขึ้นไป) แต่ในผู้อายุน้อย บางรายก็อาจพบภาวะนี้ได้เช่นกัน

โดยสาเหตุของโรคอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม การดื่ม แอลกอฮอล์ ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด และโรคประจำตัวที่มีความเกี่ยวเนื่องกันได้แก่ เบาหวาน โรค ไต และไขมันในเลือดสูง

ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ลดความดันโลหิตของพืชสมุนไพรจำนวนมาก “ทับทิม” ถือเป็น พืชสมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากมีรายงานถึงฤทธิ์ลดเบาหวาน และลดไขมันในเลือด (9) ซึ่งเป็นโรคที่มีความเกี่ยวเนื่องกับโรคความดันโลหิต

และจากการรวบรวมผลการศึกษาทางคลินิกของน้ำคั้น ทับทิม ต่อโรคความดันโลหิต ในอาสาสมัครที่หลากหลายกลุ่มตัวอย่างดังนี้

ผลการศึกษาทางคลินิกของน้ำทับทิมคั้น

การศึกษาผลของการดื่มน้ำทับทิมคั้นในผู้ป่วยเพศชายที่มีภาวะความดันโลหิตสูงจำนวน 13 คน (อายุ ระหว่าง 39-68 ปี) โดยให้ผู้ป่วยดื่มน้ำทับทิมคั้น ขนาด 150 มล. เพียงครั้งเดียว ทำการวัดความค่าดันโลหิตของ ผู้ป่วยในช่วงก่อนดื่มน้ำทับทิมคั้น และหลังจากดื่มแล้ว 12 ชั่วโมงเพื่อเปรียบเทียบและวิเคราะห์การทำงานของ เยื่อบุผนังหลอดเลือดด้วยการวัดค่า flow-mediated dilation (FMD) 

ผลจากการทดสอบพบว่า หลังจาก ผู้ป่วยดื่มน้ำทับทิมคั้น 12 ชั่วโมง ค่าความดันขณะหัวใจบีบตัว (systolic blood pressure) และคลายตัว (diastolic blood pressure) ลดลงคิดเป็น 7 และ 6 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ส่วนค่า FMD และค่าทางชีวเคมีใน เลือดอื่นๆ ไม่มีความแตกต่างจากช่วงเวลาก่อนดื่มน้ำทับทิมคั้นแต่อย่างใด (10) 

และในการทดสอบให้ อาสาสมัครเพศชายที่มีสุขภาพดีจำนวน 19 คน (อายุเฉลี่ย 23 + 4 ปี) ดื่มสารสกัดทับทิมเข้มข้นเพียงครั้งเดียว ขนาด 237 มล. (ประกอบด้วยสารโพลีฟีนอล 652-948 มก.) 15 นาทีก่อนรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง (high fat diet) หรือดื่มในระหว่างที่รับประทานอาหาร

 แล้ววัดความดันในชั่วโมงที่ 1, 2 และ 4 หลังมื้ออาหาร พบว่า อาสาสมัครกลุ่มที่ดื่มสารสกัดทับทิมก่อนหรือดื่มในระหว่างรับประทานอาหารมีค่าความดันขณะหัวใจ บีบตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเพียงอย่างเดียว (กลุ่มควบคุม) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การดื่มสารสกัดทับทิมอาจมีฤทธิ์ในการช่วยลดความดันโลหิตของผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงได้ (11)

การศึกษาฤทธิ์ลดความดันโลหิตของการดื่มน้ำทับทิมคั้นในระยะยาว โดยให้อาสาสมัครทั้งชายและ หญิงจำนวน 11 คน (อายุเฉลี่ย 58.91 + 5.06 ปี) ดื่มน้ำทับทิมคั้นขนาด 150 มล./วัน นาน 12 สัปดาห์ พบว่า การดื่มน้ำทับทิมคั้นมีผลทำให้ค่าความดันโลหิตของผู้ป่วยลดลง โดยค่าความดันขณะหัวใจบีบตัวลดลงจาก 130.91 + 13.00 เป็น 124.55 + 15.72 มม.ปรอท

ในขณะที่ค่าความดันขณะหัวใจคลายตัวลดลงจาก 80.00 + 8.94 เป็น 76.36 + 6.74 มม.ปรอท (12) เช่นเดียวกับการศึกษาฤทธิ์ลดความดันโลหิตของทับทิมในผู้ป่วย ความดันโลหิตสูง (ค่าความดันเฉลี่ย 155 + 7 / 83 + 7 มม.ปรอท) จำนวน 7 คน ทั้งชายและหญิง

โดยให้ดื่ม น้ำทับทิมคั้นเข้มข้น (ประกอบด้วยสารโพลีฟีนอล 1.5 นาโนโมลาร์) วันละ 50 มล. ติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ พบว่าค่าเฉลี่ยความดันโลหิตของผู้ป่วยลดลงมาอยู่ที่ 147 ± 10 / 82 + 5 มม.ปรอท และยังพบว่าการดื่มน้ำ คั้นทับทิมเข้มข้นมีผลยับยั้งเอนไซม์ angiotensin converting enzyme ทำให้หลอดเลือขยายและลดปริมาณ เกลือและน้ำภายในร่างกาย (13)

นอกจากนี้ การศึกษาผลของการดื่มน้ำทับทิมคั้นในผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis) จำนวน 66 คน (อายุเฉลี่ย 66.5 + 11.8 ปี) ทั้งชายและหญิง โดยให้ผู้ป่วยดื่มน้ำทับทิมคั้น (ประกอบด้วยสารโพลีฟีนอล 0.7 นาโนโมลาร์) ขนาด 100 ซีซี 3 ครั้ง/สัปดาห์ ติดต่อกันนาน 1 ปี พบว่าการ ดื่มน้ำทับทิมคั้น มีผลทำให้ค่า HDL (high density lipoproteins) ของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ค่าไตรกลีเซอร์ไรด์และค่าความดันขณะหัวใจบีบตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (14) 

และการศึกษาผลของการดื่มน้ำทับทิมคั้นในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงตีบ (carotid artery stenosis) จำนวน 10 คน ทั้งชายและหญิง (อายุระหว่าง 65-70 ปี) โดย ให้ดื่มน้ำทับทิมคั้นเข้มข้น (ประกอบด้วยสารโพลีฟีนอล 1.5 นาโนโมลาร์) วันละ 50 มล. ติดต่อกันนาน 1-3 ปี พบว่าการดื่มน้ำทับทิมคั้นเข้มข้นมีผลลดค่าความดันโลหิต และลดความหนาของผนังเส้นเลือดลง นอกจากนี้ยัง มีผลช่วยลดการเกิดปฏิกิริยออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิด LDL (LDL oxidation) ซึ่งเป็นสาเหตุของการ เกิดอนุมูลอิสระและทำให้ผนังของเส้นเลือดหนาขึ้น (15)

การศึกษาผลของการดื่มน้ำทับทิมคั้นต่อความเร็วในการไหลเวียนเลือด (pulse wave velocity) และ ความดันโลหิต ในอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี (อายุระหว่าง 30-50 ปี) ทั้งชายและหญิงจำนวน 51 คน โดยให้ อาสาสมัครดื่มน้ำทับทิมคั้นขนาด 330 มล./วัน นานติดต่อกัน 4 สัปดาห์ พบว่าการดื่มน้ำทับทิมคั้นมีผลทำให้ ค่าความดันขณะหัวใจบีบตัวของอาสาสมัครลดลง 3.14 มม.ปรอท ค่าความดันขณะหัวใจคลายตัวลดลง 2.33 มม.ปรอท และค่าเฉลี่ยความดันโลหิตลดลง 2.60 มม.ปรอท โดยไม่มีผลต่อความเร็วในการไหลเวียนเลือด (16)

บทสรุป น้ำทับทิมคั้น

จากกข้อมูลงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า น้ำทับทิมคั้นมีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต จึงอาจเป็นทางเลือก หนึ่งสำหรับใช้เพื่อเป็นอาหารเสริมสุขภาพสำหรับผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง โดยมีขนาดแนะนำคือ ประมาณ วันละ 150 - 300 มล. นาน 4 - 12 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามยังมีข้อควรระวังเกี่ยวกับการดื่มน้ำทับทิมคั้นอยู่บ้าง โดยพบรายงานการศึกษาทางคลินิกระบุว่า ผู้ป่วยเพศชาย (อายุ 48 ปี) ซึ่งป่วยเป็นโรคที่มีอาการผิดปกติที่เกิด กับกล้ามเนื้อ (myopathy) รับประทานยา ezetime และ rasuvastatin ขนาด 10 และ 5 มก./วัน ตามลำดับ

ร่วมกับดื่มน้ำทับทิมคั้นขนาด 200 มล. 2 ครั้ง/สัปดาห์ ติดต่อกันนาน 3 สัปดาห์ ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวด กล้ามเนื้อขาและพบว่ามีค่า creatine kinase ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้สันนิษฐานว่าการดื่มน้ำทับทิมคั้นร่วมกับ การใช้ยา rasuvastatin อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อสลายตัว (rhabdomyolysis) จึงควร ระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาดังกล่าว (17)

อาการแพ้ น้ำทับทิม

นอกจากนี้ ยังพบรายงานการศึกษาทางคลินิกถึงการเกิดอาการแพ้ เนื่องจากการรับประทานทับทิม ดังนี้ (18)

  • ผู้ป่วยเพศหญิงอายุ 25 ปี รับประทานทับทิมไปครึ่งผล หลังจากรับประทานไป 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยเกิด อาการคัน เป็นผื่นเหมือนลมพิษ และหลอดลมหดเกร็ง จากนั้น 2 สัปดาห์พบว่าบริเวณคอหอยส่วนปากเป็น หนอง โดยผู้ป่วยรายนี้มีประวัติภูมิแพ้ หอบหืด และอาเจียนเมื่อรับประทานลูกท้อ องุ่น กล้วย และแพ้อาหาร จําพวกถั่ว
  • ผู้ป่วยเพศหญิงอายุ 25 ปี มีอาการปวดท้อง ผื่นขึ้นเหมือนลมพิษและมีอาการคัน หลังจาก รับประทานทับทิม โดยผู้ป่วยรายนี้มีประวัติแพ้ลูกท้อ ลูกแพร์ และแอปเปิ้ล
  • เด็กหญิงอายุ 3 ปี มีอาการบวมที่ใบหน้า ผื่นขึ้น และหายใจลำบาก หลังจากรับประทานทับทิม โดย ผู้ป่วยรายนี้มีประวัติแพ้ถั่วลิสง อัลมอนด์ ลูกท้อ และข้าวโพด

ดังนั้นจึงควรหมั่นสังเกตอาการของตนเองหลังจากดื่มน้ำทับทิมคั้น หากมีอาการผิดปกติดังกล่าวควรหยุดใช้ทันที

เอกสารอ้างอิง

  1. 1. Krueger DA. Composition of pomegranate juice. J AOAC Int. 2012; 95(1): 163-8.
  2. 2. Medjakovic S, Jungbauer A. Pomegranate: A fruit that ameliorates metabolic syndrome. Food & Function. 2013; 4: 19-39.
  3. 3.Fischer UA, Carle R, Kammerer DR. Identification of phenolic compounds from pomegranate (Punica granatum L.) peel, mesocarp, aril and differently produced juices by HPLC-DAD- ESI/MSN. Food Chem. 2011; 127: 807-21.
  4. 4. Sartippour MR, Seeram NP, Rao JY, et al. Ellagitannin rich pomegranate extract inhibits angiogenesis in prostate cancer in vitro and in vivo. Int J Oncol. 2008; 32: 475-80.
  5. 5. Seeram NP, Zhang Y, McKeever R, et al. Pomegranate juice and extracts provide similar levels of plasma and urinary ellagitannin metaboloites in human subjects. J Med Food. 2008; 11: 390-4.
  6. 6. De Pascual-Teresa S, Santos-Buelga C, Rivas-Gonzalo JC. Quantitative analysis of flavan-3- ols in Spanish foodstuffs and beverages. J Agric Food Chem. 2000; 48(11): 5331-7.
  7. 7. Gil MI, Tomas-Barberan FA, Hess-Pierce B, Holcroft DM, Kader AA. Antioxidant activity of pomegranate juice and its relationship with phenolic composition and processing. J Agric Food Chem. 2000; 48: 4581-9.
  8. 8. Mena P, Galindo A, Collado-Gonzalez J, et al. Sustained deficit irrigation affects the colour and phytochemical characteristics of pomegranate juice. J Sci Food Agric. 2013; 93: 1922-7.
  9. 9. Jurenka JS. Therapeutic applications of pomegranate (Punica granatum L.): a review. Altern Med Rev. 2008; 13(2): 128-44.
  10. 10. Asgary S, Keshvari M, Sahebkar A, Hashemi M, Rafieian-Kopaei M. Clinical investigation of the acute effects of pomegranate juice on blood pressure and endothelial function in hypertensive individuals. ARYA Atheroscler. 2013; 9(6): 326-31.
  11. 11. Mathew AS, Capel-Williams GM, Berry SE, Hall WL. Acute effects of pomegranate extract on postprandial lipaemia, vascular function and blood pressure. Plant Foods Hum Nutr. 2012; 67(4): 351-7.
  12. 12. Asgary S, Sahebkar A, Afshani MR, Keshvari M, Haghjooyjavanmard S, Rafieian-Kopaei M. Clinical evaluation of blood pressure lowering, ndothelial function improving, hypolipidemic and anti-inflammatory effects of pomegranate juice in hypertensive subjects. Phytother Res. 2014; 28(2): 193-9.
  13. 13. Aviram M, Dornfeld L. Pomegranate juice consumption inhibits serum angiotensin converting enzyme activity and reduces systolic blood pressure. Atherosclerosis. 2001; 158(1): 195-8.
  14. 14. Shema-Didi L, Kristal B, Sela S, Geron R, Ore L. Does Pomegranate intake attenuate cardiovascular risk factors in hemodialysis patients? Nutr J. 2014; 13: 18. 
  15. 15. Aviram M, Rosenblat M, Gaitini D, Nitecki S, Hoffman A, Dornfeld L, et al. Pomegranate juice consumption for 3 years by patients with carotid artery stenosis reduces common carotid intima-media thickness, blood pressure and LDL oxidation. Clin Nutr. 2004; 23(3): 423-33.
  16. 16. Lynn A, Hamadeh H, Leung WC, Russell JM, Barker ME. Effects of pomegranate juice supplementation on pulse wave velocity and blood pressure in healthy young and middleaged men and women. Plant Foods Hum Nutr. 2012; 67(3): 309-14.
  17. 17. Sorokin AV, Duncan B, Panetta R, Thompson PD. Rhabdomyolysis associated with pomegranate juice consumption. Am J Cardiol. 2006; 98(5): 705-6.
  18. 18. Gaig P, Bartolomé B, Lleonart R, García-Ortega P, Palacios R, Richart C. Allergy to pomegranate (Punica granatum). Allergy. 1999; 54(3): 287-8.