ผิวขาวกระจ่างใส ด้วยแตงกวา ได้จริงไหม ประโยชน์ สรรพคุณ?
แตงกวา (Cucumis sativus L.) เป็นไม้เลื้อย ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีขนแข็ง มือเกาะไม่แยกแขนง ใบ เดี่ยว เรียงสลับ รูปสามเหลี่ยมแกมรูปไข่มี 3-5 เหลี่ยมหรือเว้าตื้น ๆ เป็น 3-5 แฉก ปลายใบแหลม ขอบใบ หยักแบบซี่ฟัน โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ
ดอกเพศผู้และเพศเมียหรือดอกสมบูรณ์เพศอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกเพศ ผู้ออกเป็นกระจุกที่ง่ามใบ กลีบดอกเชื่อมติดกันที่โคนเป็นรูประฆัง ปลายแยกเป็นแฉกแคบ ๆ 5 แฉก ผิวย่น และมีขน สีเหลือง เกสรเพศผู้มี 3 อัน ก้านไม่ติดกัน อับเรณูติดอยู่ด้านนอก ดอกเพศเมีย มีลักษณะเหมือนดอก เพศผู้ รังไข่มี 3 ช่อง
ผลมีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันมาก ผลอ่อนมีตุ่มเล็กกระจายทั่วไป สีเขียวอ่อนถึงเขียว เข้ม ผลแก่สีเหลือง หรือสีเหลืองแกมน้ำตาล เมล็ดมีจํานวนมาก รูปไข่หรือรูปรี แบน สีขาว
สรรพคุณตามแผนโบราณ ผล บรรเทาอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง น้ำจากผล ทำให้ผิวชุ่มชื้น
การศึกษาทางคลินิกและการทดลอง
มีรายงานการศึกษาทางคลินิกทําให้ผิวขาว โดยเป็นการศึกษาแบบปกปิดฝ่ายเดียว (one-sided blind study) ในผู้ที่มีสุขภาพดีจำนวน 21 คน อายุระหว่าง 21 - 35 ปี โดยทุกคนจะได้รับครีมทาผิว 2 ชนิด ครีมตัวแรกเป็นครีมเบส ส่วนครีมชนิดที่ 2 เป็นครีมทาผิวในรูปอิมัลชันที่มีส่วนผสมของสารสกัดไฮโดรอัล กอฮอลิกซ์ของผลแตงกวา 3% (ตัวอย่างจากประเทศปากีสถาน)
โดยให้อาสาสมัครทาครีมแตงกวาที่แก้มด้าน หนึ่ง และแก้มอีกด้านหนึ่งให้ทาครีมเบสวันละ 2 ครั้ง นาน 60 วัน และมีการประเมินสภาพผิวทุกสัปดาห์ที่ 1, 2, 3 และ 4 พบว่าครีมแตงกวาสามารถลดปริมาณของเมลานิน ลดความมัน (sebum) ลดความชุ่มชื้น แต่มี ผลเพิ่มการสูญเสียน้ำทางผิวหนัง transepidermal water loss (TEWL) เมื่อเทียบกับครีมเบส โดยไม่ ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนัง
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในหลอดทดลอง น้ำคั้นผลแตงกวาที่ปลอก เปลือกและเอาเมล็ดออก, ส่วนสกัดนาคั้นผลแตงกวาด้วยเอทิลอะซิเตท และเอ็น-บิวทานอล (ตัวอย่างจาก ประเทศอินเดีย)
เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์การยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ในหลอดทดลอง พบว่าค่า ความเข้มข้นที่สามารถต้านเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ร้อยละ 50 (ICs) มีค่าเท่ากับ 40.09, 24.46 และ 99.68 มคก./มล. ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับสาร quercetin ที่มี IC50 เท่ากับ 18.27 มคก./มล. จะเห็นได้ว่าส่วน สกัดน้ำคั้นผลแตงกวาด้วยเอทิลอะซิเตทมีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ดีที่สุด
สารสำคัญที่สามารถสกัดแยกได้จากสารสกัดเมทานอลของใบแตงกวา ได้แก่ lutein, (+)- (1R,25,5R,65)-2,6-di-(4-hydroxyphenyl)-3,7-dioxabicyclo[3.3.0] octane, (-)-pinoresinol, (+)- pinoresinol และ indole-3-aldehyde
เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการสังเคราะห์สาร melanin ในเซลล์ B16 melanoma cells พบว่าค่าความเข้มข้นที่สามารถยับยั้งการสังเคราะห์สาร melanin ได้ร้อยละ 50 (IC5 ) มีค่าเท่ากับ 170.7 + 16.5, 270.8 + 37.5, 216.8 + 32.0, 202.1 + 26.3 และ 297.9 + 33.6 ไมโครโมล่าร์ เมื่อเทียบกับสาร arbutin ที่มีค่า IC50 เท่ากับ 234.9 + 27.9 ไมโครโมล่าร์ จากการศึกษาสรุปได้ว่า สาร Lutein และ (-)-pinoresinol ต้านการสังเคราะห์สาร melanin ได้ดีกว่าสาร arbutin
การศึกษาทางพิษวิทยาและความปลอดภัย
การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน เมื่อป้อนผลแตงกวาปั่นละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน ขนาด 0.5, 1.0, 1.5, 3.0 และ 5 มล./กก. (ตัวอย่าง ประเทศไนจีเรีย) ให้กับหนูเม้าส์ พบว่าไม่มีหนูตาย แสดงว่าค่อนข้างปลอดภัย
เมื่อป้อนสารสกัดน้ำผล แตงกวาให้หนูเม้าส์กิน (ตัวอย่างจากประเทศอินเดีย) และสังเกตอาการนาน 14 วัน พบว่าขนาดที่ปลอดภัย และไม่เป็นพิษกับหนู คือไม่มีอาการอ่อนเพลีย ชัก หายใจลำบาก มีค่ามากกว่า 5,000 มก./กก.
ข้อควรระวัง
ผู้ที่มีประวัติแพ้คืนไฉ่ แครอท และแตงโม ก็อาจจะแพ้แตงกวาได้เช่นกัน
อาการไม่พึงประสงค์
มีรายงานผู้หญิงอายุ 76 ปี เมื่อรับประทานผลแตงกวา ภายใน 5 นาที มีอาการมึนเวียนศีรษะ อาเจียน หายใจลำบาก มีผื่นแดงที่หน้าอก และคันที่ช่องคลอด เมื่อสืบประวัติย้อนหลังไป 3 เดือน พบว่ามีประวัติแพ้ยางมะละกอ แล้วทำให้เกิดผื่นคล้ายลมพิษ จากข้อมูลทั้งหมดของผู้ป่วยรายนี้สรุปได้ว่าคือการแพ้ยางมะละกอ และแพ้ยางแตงกวา
สรุปผล
จากการศึกษาข้อมูลงานวิจัยของแตงกวาจะเห็นได้ว่า แตงกวามีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนส ยับยั้งการสังเคราะห์สาร melanin ซึ่งจะมีผลช่วยในเรื่องที่ทำให้ผิวขาว ดังนั้นแตงกวาน่าจะมีศักยภาพในการที่จะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางในส่วนของทำให้ผิวขาว แต่อย่างไรก็ตามก็มีข้อควรระวังในผู้ที่มีประวัติแพ้คืนไฉ่ แครอท และแตงโม ก็อาจจะแพ้แตงกวาได้เช่นกัน