Lazada Flash Sale

โปรฟ้าผ่า!! รับซัมเมอร์

ลดแรงกว่า 90%* ช้อปเลย »

ต้นพิทูเนีย พันธุ์ต่างๆ วิธีปลูกให้ออกดอกดก เมล็ดพันธุ์ ราคาถูก?

พิทูเนีย

พิทูเนียเป็นไม้ดอกชนิดหนึ่งที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามีความสวยงาม โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานิยมปลูกพิทูเนียกันมาก ซึ่งนิยมปลูกเป็นไม้ประดับแปลง (bedding plant) ไม้กระถาง (potted plant) และไม้ในภาชนะแขวน (hanging basket)  นับว่าเป็นไม้ดอกที่มีความสําคัญมากขึ้นเป็นลําดับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา (สมเพียร, 2524 และ 2525)

ต้นพิทูเนีย พันธุ์ต่างๆ ดอกพิทูเนีย หลากสี

ลักษณะเด่นของพิทูเนีย คือ ดอกมีสีสันสวยงาม หลากหลายสี ดอกดก และดอกบานอยู่ได้นาน บางพันธุ์มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ต้นมีลักษณะทรงพุ่มเตี้ย และต้นมีขนาดสม่ำเสมอ (นันทิยา, 2535)

รายละเอียดเพิ่มเติม

ในต่างประเทศมีการปรับปรุงพันธุ์พิทูเนียกันอย่างกว้างขวาง จนได้พิทูเนียหลายประเภทและมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันออกไป (สมเพียร, 2524)

พันธุ์พิทูเนียที่นิยมปลูกกันในประเทศไทยเป็นพันธุ์ลูกผสมชั่วที่ 1 (F1-hybrid) ซึ่งเป็นพันธุ์ที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ โดยแต่ละพันธุ์จะมีลักษณะดีเด่นแตกต่างกันออกไป ลูกผสมบางสายพันธุ์สามารถทนอากาศร้อนและแล้งได้ดี(สมเพียร, 2525)

ประวัติ ความหมายของชื่อ และลักษณะทางพฤกษศาสตร์

พิทูเนีย (petunia) เป็นไม้ดอกที่อยู่ในวงศ์ Solanaceae ซึ่งอยู่ในวงศ์เดียวกับพืชไร่ และพืชผักหลายชนิด เช่น ยาสูบ มะเขือ มะเขือเทศ และพริก เป็นต้น ชื่อ Petunia มาจาก Petun เป็นภาษาบราซิล แปลว่า ต้นยาสูบ เนื่องจากต้นพิทูเนียมีลักษณะคล้ายต้นยาสูบ พิทูเนียมีถิ่นกําเนิดในแถบอเมริกาใต้

พิทูเนีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Petunia hybrida เนื่องจาก พิทูเนียที่ปลูกอยู่ในปัจจุบันเป็นลูกผสมของ Petunia axillaris กับ Petunia violacea 

ลักษณะทั่วไป พิทูเนียเป็นไม้ดอกหลายฤดู ต้นเป็นพุ่มเตี้ยและค่อนข้างเลื้อย ลําต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน สูงประมาณ 30 เซนติเมตร ใบเป็นใบเดี่ยวออกใบเป็นคู่ๆ ตรงข้ามกันไปตามลําต้น รูปร่างใบคล้ายใบยาสูบแต่มีขนาดเล็กกว่า ใบกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร ยาว 8-10 เซนติเมตร มีขนอยู่ทั่วไปตามผิวใบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

ลักษณะใบเป็นรูปไข่ (ovate) ปลายใบแหลม (acute) เนื้อใบอ่อน (soft) ขอบใบเรียบ (entire) ดอกมีรูปร่างเป็นรูปกรวย (funnel form) เป็นดอกเดี่ยว (solitary) มีทั้งชนิดดอกชั้นเดียว (single) และดอกซ้อน (double) ก้านดอกเกิดที่ยอดหรือข้างลําต้น วงกลีบเลี้ยง (calyx) มี 5 แฉก วงกลีบดอก (corolla) มี 5 แฉก มีคอดอก (throat) ยาว

มีเกสรตัวผู้ (stamen) 5 อัน เกสรตัวเมีย (pistil) 1 อัน สีและขนาดของดอกแตกต่างกันไปตามประเภทและพันธุ์เมล็ดมีลักษณะกลม ขนาดเล็ก ฝักหนึ่งๆ อาจจะมีตั้งแต่ 100-300 เมล็ด เมล็ดหนัก 1 ออนซ์ จะมีจํานวนเมล็ด ประมาณ 185,000-285,000 เมล็ด แล้วแต่พันธุ์ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2541; สมเพียร,2525)

พิทูเนีย พันธุ์ต่างๆ

พิทูเนีย แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 9 ประเภท (ธัญญะ, 2539; นันทิยา, 2535;สํานักพิมพ์บ้านและสวน, 2539) คือ

  1. ประเภทดอกใหญ่ชั้นเดียว (grandiflora single) เป็นที่นิยมปลูกกันมากที่สุด ดอกมีขนาดใหญ่ประมาณ 7.5 - 12.5 เซนติเมตร ดอกชั้นเดียว ปลายกลีบดอกหยักย่น ต้นโตแข็งแรง ใบใหญ่จํานวนดอกน้อยกว่าประเภทดอกเล็ก แต่เนื่องจากดอกใหญ่กว่า เมื่อปลูกจํานวนมากต้นก็จะได้สีของดอกพอๆกัน พันธุ์พิทูเนียชนิดนี้เป็นลูกผสมชั่วที่ 1 ทั้งสิ้น ได้แก่ชุด Cascade, Supercascade, Flash, Daddy, Flair, Titan, Sails, Picotee, Magic, Supermagic และ Ultra
  2. ประเภทดอกใหญ่ซ้อน (grandiflora double) มีขนาดดอกใหญ่เช่นเดียวกับประเภทดอกใหญ่ชั้นเดียว แต่กลีบดอกซ้อน พิทูเนียประเภทดอกใหญ่ซ้อนต้องการปุ๋ยเพื่อการเจริญเติบโต และการพัฒนาดอกให้สมบูรณ์มากกว่าประเภทดอกใหญ่ชั้นเดียว พิทูเนียชนิดนี้มีจํานวนพันธุ์น้อยกว่าประเภทดอกใหญ่ชั้นเดียว พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่พันธุ์ Cercus, Bridal Bouquet, Confetti, Sonata, Fanfare, Valentine และ Blue Danube
  3. ประเภทดอกเล็กชั้นเดียว (multiflora single) ขนาดดอกเล็ก กลีบดอกชั้นเดียว เส้นผ่าศูนย์กลางดอก 4.0 – 5.0 เซนติเมตร ให้ดอกดก ปลายกลีบเรียบ ดอกตูมมีลักษณะแหลมและขนาดเล็ก มีทรงพุ่มกระทัดรัด แตกกอได้ดี ใช้ปลูกในแปลงได้ดี ทนทานต่อสภาพอากาศไม่เหมาะสม เช่น อากาศร้อน ฝนตก และทนทานต่อโรค พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่ พันธุ์ Comenche(AAS 1953), Joy, Carpet, Celebrity, Polo Burgundy Star (AAS 1990) และ Plum series
  4. ประเภทดอกเล็กซ้อน (multiflora double) มีลักษณะเหมือนกับประเภทดอกเล็กชั้นเดียว ต่างกันที่ดอกซ้อน และต้องการปุ๋ยมากกว่า พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่ ชุด Delight และ Sweet Tart
  5. ฟลอริบันดาดอกชั้นเดียว (floridunda single) ขนาดดอกอยู่ระหว่างประเภทดอกใหญ่ชั้นเดียวและประเภทดอกเล็กชั้นเดียว ดอกดก ขนาดดอกประมาณ 7.5 – 9.0 เซนติเมตร ทนโรคและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีเหมือนกับประเภทดอกเล็กชั้นเดียว พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่ ชุด Madness, Primetime, Freedom และ Mirage
  6. ฟลอริบันดาดอกซ้อน (floribunda double) ขนาดดอกเท่ากับฟลอริบันดาดอกชั้นเดียว แต่กลีบดอกซ้อน พันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่ชุด Double Madness
  7. แคลิฟอร์เนีย ไจแอน (california giants หรือ superbissima) ขนาดดอกใหญ่มาก คือ ใหญ่กว่าประเภทดอกใหญ่ชั้นเดียวเกือบ 2 เท่า ลําต้นและใบค่อนข้างใหญ่และหนา เนื่องจาก พิทูเนียประเภทนี้มีจํานวนโครโมโซมเป็น 2 เท่า (tetraploid) ดอกไม่ดก
  8. พิทูเนียหนู (milliflora หรือ miniature) นับเป็นพิทูเนียประเภทใหม่ ดอกของพิทูเนียประเภทนี้มีขนาดเล็กกว่าประเภทดอกเล็กชั้นเดียว แต่ดอกดกมาก ลําต้นมีข้อปล้องสั้นจึงทําให้ดูเป็นพุ่มแน่น พันธุ์พิทูเนียชนิดนี้ได้แก่พันธุ ใน Fantasy series ซึ่งมีหลายสี
  9. พิทูเนียเลื้อย (supertunia) พิทูเนียชนิดนี้เป็นพิทูเนียประเภทใหม่เช่นกัน คาดว่าจะเป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว เพราะมีลักษณะพิเศษที่สามารถเลื้อยยาวไปโดยรอบทิศเป็นรัศมีได้กว่า 120 เซนติเมตร จึงเหมาะที่จะใช้เป็นไม้กระถางแขวน และไม้คลุมดิน ปัจจุบันมีเพียงพันธุ์เดียว คือ พันธุ์ Purple wave ดอกสีม่วง

การขยายพันธุ์ การปลูก และการดูแล

การขยายพันธุ์พิทูเนีย นิยมขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด การเพาะเมล็ดควรเพาะในดินที่ค่อนข้างละเอียด สะอาดและปราศจากเชื้อโรค โดยเพาะในกระบะหรือตะกร้าพลาสติกโปร่ง บุกระดาษ บริเวณก้นตะกร้า 

ใส่วัสดุเพาะประมาณ 1/2 - 2/3 ของความสูงกระบะ เกลี่ยวัสดุเพาะให้เรียบเสมอกัน ทําร่องตื้นๆ ประมาณ 1/4 เซนติเมตร แต่ละร่องห่างกัน 2 – 3 เซนติเมตร จากนั้นโรยเมล็ดลงในร่อง หลังจากประมาณ 12 –15 วัน ย้ายกล้าลงในถาดหลุมขนาด 1 นิ้ว

และหลังจากย้ายปลูกในถาดหลุมประมาณ 4 สัปดาห์ จึงย้ายปลูกลงในกระถาง 4 นิ้ว จนปลายใบชนขอบกระถาง จึงย้ายปลูกในกระถาง 6 นิ้ว ต่อไป (ปิฏฐะ, 2529)

พิทูเนียเจริญเติบโตได้ดีในที่มีแดดจัด แต่ไม่มีลมแรง เพราะกลีบดอกของพิทูเนียบอบบาง และเหี่ยวง่าย ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วน ระบายน้ำและอากาศได้ดี มีความอุดมสมบูรณ์ มีอินทรียวัตถุอยู่อย่างเพียงพอ ถ้าดินแฉะระบายน้ำไม่ดี ใบล่างของพิทูเนียจะเหลืองและเหี่ยว (นันทิยา, 2535 ; สมเพียร, 2524)

จากการสังเกตและคัดเลือกพันธุ์ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ธัญญะ เตชะศีลพิทักษ์ พบว่า พิทูเนียพันธุ์ Peal Wave เป็นพันธุ์ที่ออกรากง่าย โดยจะเห็นรากอยู่บริเวณกิ่งและข้อของลําต้น จึงได้นํากิ่งมาขยายพันธุ์โดยวิธีการปักชํา พบว่าออกรากได้ดีและสามารถปลูกให้ดอกได้เร็วกว่า

การเพาะเมล็ด พิทูเนีย

พิทูเนียพันธุ์ Peal Wave เป็นพิทูเนียเลื้อย มีความสูง 6 – 10 เซนติเมตร ความกว้างทรงพุ่ม 40 – 60 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 – 6 เซนติเมตร ออกดอกตลอดความยาวของกิ่ง มีความทนทานต่อเชื้อรา

สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนและชื้น เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้กระถาง ปลูกในภาชนะแขวน หรือปลูกเป็นไม้ประดับแปลง (ปทุมรัตน์, 2543)

ธนพร (2543) ได้ทําการผสมพันธุ์พิทูเนียพันธุ์ Peal Wave ที่มีสีม่วงอ่อน กับพันธุ์ต่างๆ ได้แก่พันธุ์ Daddy Blue, Fantasy Pink, Pime Time Red Sar และ Bravo Salmon Veined 

จากการศึกษาลักษณะของลูกผสมทั้ง 4 คู่ผสม พบว่าลูกผสมในแต่ละคู่ผสมมีความแปรปรวนในลักษณะต่างๆมาก โดยเฉพาะสีดอก โดยคู่ผสมระหว่าง Peal Wave x Bravo Salmon Veined มีการกระจายตัวของสีดอกมากที่สุด มีสีดอกตั้งแต่สีขาว สีบานเย็นเข้ม สีม่วงอมชมพู สีชมพูอมม่วงอ่อน สีชมพูอมม่วง สีม่วง สีม่วงอมแดงจนถึงสีม่วงอมแดงอ่อน

จึงได้คัดเลือกต้นที่มีดอกสีสันสวยงาม มีลักษณะทรงพุ่มเตี้ย กิ่งแขนงเลื้อยทอดยาว มีจํานวนกิ่งแขนงมาก เพื่อนําไปผสมกลับ(backcross) กับพันธุ์ Peal Wave

การปรับปรุงพันธุ์พิทูเนียที่สามารถขยายพันธุ์โดยวิธีการปักชําให้มีสีสันหลากหลายสวยงามน่าจะทําให้พิทูเนียประเภทนี้เป็นที่นิยมปลูกต่อไปในอนาคต 

 ดังนั้นจึงได้ทําการศึกษาลักษณะลูกผสมกลับของพิทูเนียพันธุ์ Peal Wave เพื่อคัดเลือกต้นที่ดอกมีสีสันสวยงาม มีลักษณะต้นเลื้อยทอดยาว มีจํานวนกิ่งแขนงมาก และสามารถขยายพันธุ์โดยวิธีการปักชําได้

อ้างอิง : สำนักหอสมุด กำแพงแสน

รายละเอียดเพิ่มเติม