ว่านค้างคาวดำ
ชื่อวิทยาศาสตร์
ว่านค้างคาวดำ ชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Tacca chantrieri André อยู่ในสกุล Tacca จัดอยู่ในวงศ์ Dioscoreaceae ว่านค้างคาวดำ เป็นพันธุ์พืชที่เราจัดไว้ในกลุ่มพืชสมุนไพร
ชื่อสกุล Tacca มาจากภาษาพื้นเมืองในอินโดนีเซียคำว่า taka laoet ที่ใช้เรียก ท้าวยายม่อม (Tacca leontopetaloides Kuntze) พืชสกุลนี้เดิมอยู่ในวงศ์ TACCACEAE ทั่วโลกพบ 18 ชนิด ในไทยพบอย่างน้อย 5 ชนิด
ชื่อพ้อง (Synonyms)
Photo by Natureman Thaimountain
- Schizocapsa breviscapa (Ostenf.) H.Limpr.
- Schizocapsa itagakii Yamam.
- Tacca esquirolii (H.Lév.) Rehder
- Tacca garrettii Craib
- Tacca macrantha H.Limpr.
- Tacca minor Ridl.
- Tacca paxiana H.Limpr.
- Tacca roxburghii H.Limpr.
- Tacca vespertilio Ridl.
- Tacca wilsonii H.Limpr.
- Clerodendrum esquirolii H.Lév.
ชื่อไทย
ชื่อทางการของพืชชนิดนี้ (อ้างอิงจาก ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557) มีชื่อไทยว่า เนระพูสีไทย ในสารานุกรมพืชในประเทศไทย ชื่อว่า ว่านค้างคาว
และมีชื่ออื่น (ชื่อพื้นเมือง, ชื่อท้องถิ่น) ว่า ค้างคาวใหญ่; ดีงูหว้า(ภาคเหนือ) ; บีเมย(ภูไท-นครพนม) ; ดีปลาช่อน(ตราด) ; คลุ้มเลีย , ว่านหัวลา , ว่านหัวเสีย(จันทบุรี) ; ค้างคาวดำ , เนระพูสีไทย , มังกรดำ , ว่านค้างคาว(กทม.) ; หมากแฟล(ภาคใต้) ; ม้าถอนหลัก(ชุมพร) ; นิลพูสี(ตรัง) ; กลาดีกลามูยี(มลายู-ปัตตานี) ; ว่านพังพอน(ยะลา) ; ละเบ๊าะบูเก๊ะ(มลายู-ยะลา)
ชื่อสามัญ ภาษาอังกฤษว่า Bat flower, Cat’s whiskers
ถิ่นอาศัย
ต้นว่านค้างคาวดำ ในประเทศไทย พบขึ้นตามที่ร่ม-มีแสงรำไร ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ที่ชื้นแฉะหรือใกล้ริมลำธารตามป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้งที่มีความสูงจากระดับทะเลฯไม่เกิน 1,000 เมตร ทั่วทุกภาค โดยพบมากทางภาคใต้
การแพร่กระจายพันธุ์ว่านค้างคาวดำ
ต้นว่านค้างคาวดำ แพร่กระจายในอินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ ทิเบต จีน เมียนมา ภูมิภาคอินโดจีน(ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม) และมาเลเซีย
Photo by Natureman Thaimountain
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของว่านค้างคาวดำ
- ลักษณะวิสัย: ไม้ล้มลุก มีอายุหลายปี
- ลำต้น: มีเหง้าอยู่ใต้ดิน
- ใบ: ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับเวียนรอบลำต้น หรือเป็นเกลียว รูปวงรี หรือรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก
- ดอก: ออกดอกเป็นช่อแบบซี่ร่มตามซอกใบ 1-3 ช่อๆละ 4-6 ดอก หรือมากกว่า 20 ดอก แต่มักจะทยอยออกดอกบานทีละ 1-2 ดอก รูปดอกคล้ายค้างคาวกำลังกางปีกบิน ดอกจะบานในช่วงเวลากลางคืน แต่ละดอกใช้เวลากว่าจะบานเต็มที่ราว 7-10 วัน มีกลิ่นสาบเฉพาะตัว ดอกสีม่วงแกมเขียวถึงสีม่วงดำ ดอกเป็นหลอดสั้นๆ ปลายแยกเป็น6กลีบ เรียงเป็น2วง รูปใบหอก เกสรตัวผู้เป็นเส้นเรียวยาวคล้ายหนวด 8-10 เส้น ใบประดับขนาดใหญ่ 2 คู่ ดูคล้ายปีกค้างคาว สีเขียวอมขาว สีเขียวอ่อนอมม่วง จนถึงสีม่วงดำ เรียงตั้งฉากกัน ใบประดับคู่นอกรูปรี รูปใบหอก หรือรูปขอบขนาน ส่วนใบประดับคู่ในรูปไข่ หรือรูปไข่กลับ ใบประดับย่อยรูปเส้นด้าย 5-25 อัน สีอ่อนกว่า ออกดอกตลอดปี แต่มีมากในราวเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนกันยายน
- ผล: ผลรูปขอบขนานแกมรูปสามเหลี่ยม สีน้ำตาลอมม่วง มีสันเป็นคลื่นตามยาว6สัน มีหลายเมล็ด ลักษณะเมล็ด รูปคล้ายไต
ประโยชน์ สรรพคุณทางยา สมุนไพร
- หัว : ใช้เป็นยาเดี่ยวหรือเข้ายาแก้ไข้ แก้ซาง
- ทั้งต้น : ขับปัสสาวะ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้หวัด แก้ไอเรื้อรัง แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้อ่อนเพลีย เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน รักษากามโรค รักษาโรคบุรุษ ทำให้เกิดความกำหนัด เป็นยาคุมสำหรับหญิงที่คลอดบุตรใหม่ ๆ เป็นยาบำรุง ขับระดู ทำให้มดลูกบีบตัว (ไม่ควรใช้กับหญิงมีครรภ์)
- เหง้า : บำรุงกำหนัด บำรุงกำลัง ช่วยให้เจริญอาหาร
- ตำรับ ยาแก้ไข้เด็กตัวร้อน รักษาอาการไข้ ตัวร้อน ร้อนใน กระหายน้ำ แก้พิษไข้ หืด/หัด อีสุกอีไส อีดำอีแดง
- ตำรับ ยาแก้ไข้ตัวร้อนในเด็กเล็กและมีอาการท้องเสียหรือสำรอก แก้ไข้ตัวร้อนในเด็กเล็กและมีอาการท้องเสียหรือสำรอก
- ตำรับ ยาแก้ไข้และมีอาการท้องเสีย รักษาอาการไข้ที่มีอาการท้องเสียด้วย
- ตำรับ ยาแก้คัน แก้อาการคันตามผิวหนัง
- ตำรับ ยาแก้ท้องเสียแบบมีไข้ แก้ท้องเสียแบบมีไข้ อาหารเป็นพิษ
- ตำรับ ยาเขียวหอม แก้ไข้ ตัวร้อน ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษไข้หัด ไข้เหือด (หัดเยอรมัน) ไข้อีสุกอีใส
- ตำรับ ยาบำรุงกำลัง ช่วยบำรุงกำลัง
อ้างอิง: Natureman Thaimountain, Forest Botany Division (BKF), Plants of the World Online (POWO)